ยินดีต้อนรับค่ะ...

เนื้อหาในบล็อกส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูล ไอทีที่คนส่วนใหญ่อาจจะพอรู้อยู่แล้ว หรือบางท่านอาจจะถึงขั้นเชี่ยวชาญเลยก็ได้ แต่ก็เนอะ... อาจารย์ท่านบัญชามา ถึงอย่างไร ถ้าหากมีข้อมูลใดผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ และขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำหรือคำติชมต่างๆค่ะ ^^ ยังไงก็ขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดีนะคะ

อาจารย์ผู้สอน

ประวัติย่อ พ.อ.รศ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
การ ศึกษา• ปริญญาเอกวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสารโทรคมนาคม
Ph.D. in Electrical Engineering (Telecommunications)
จาก State University System of Florida; Florida Atlantic University, USA
• ปริญญาโทวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสารโทรคมนาคม (ระบบสื่อสารเคลื่อนที่)
MS in EE (Telecommunications) จาก The George Washington University, USA
• ปริญญาโทวิศวกรรมไฟฟ้า (เครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์)
MS in EE จาก Georgia Institute of Technology, USA
• ปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสารโทรคมนาคม (เกียรตินิยมเหรียญทอง)
จาก โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 26, จปร. รุ่น 37)
BS.EE. (Telecommunication Engineering)
• มัธยมปลาย จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

เกียรติประวัติ ด้านการศึกษา• จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสารโทรคมนาคม อันดับที่ 1 ด้วยเกียรตินิยมเหรียญทอง
• ได้รับเกียรตินิยมปริญญาเอก Outstanding Academic Achievement จาก Tau Beta Pi Engineering Honor Society และ Phi Kappa Phi Honor Society
• ได้รับทุนวิจัยระดับปริญญาเอกจาก EMI R&D LAB (Collaboration between Florida Atlantic University and Motorola, Inc.)

หลักสูตรประกาศนียบัตร• หลักสูตรการรบร่วมรบผสม (Joint and Combined Warfighting Course), National Defense University, Norfolk ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทุนต่อต้านก่อการร้ายสากล (Counter Terrorism Fellowship Program) กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา
• หลักสูตรการบริหารทรัพยากรเพื่อความมั่นคง (Defense Resourse Management) โดยทุน International Military Education and Training (IMET) program, Naval Postgraduate School ประเทศสหรัฐอเมริกา
• หลักสูตร Streamlining Government Through Outsourcing Course โดยทุน International Military Education and Training (IMET) program, Naval Postgraduate School ประเทศสหรัฐอเมริกา

ตำแหน่ง และหน้าที่ปัจจุบัน• ประจำกรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย
• กรรมการกำหนดและจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ ภายใต้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)
• ผู้ช่วยเลขานุการในคณะประสานงานการบริหารคลื่นความถี่เพื่อความมั่นคงของ รัฐ ภายใต้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)
• กองบรรณาธิการ NGN Forum สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
• บรรณาธิการวารสาร International Journal of Telecommunications, Broadcasting, and Innovation Management
• ประธานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการกำกับดูแลเรื่องการบริหารคลื่นความ ถี่ด้วยเทคโนโลยี Dynamic Spectrum Allocation เพื่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ภายใต้การสนับสนุนของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)
• อาจารย์พิเศษภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
• รองศาสตราจารย์ Business School, TUI University International, USA. (Accredited Internet Distance Learning University)
• รองศาสตราจารย์ American University of London (Internet Distance Learning University)
• กรรมการกำกับมาตรฐานในหลักสูตรวิศวกรรมไฟฟ้าโทรคมนาคม, วิศวกรรมซอฟท์แวร์, เกมส์และมัลติมีเดีย, เทคโนโลยีสารสนเทศ, การจัดการสารสนเทศ ในหลายมหาวิทยาลัย ทั้งของรัฐบาลและเอกชน
• อาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยรังสิต

ตำแหน่งและ หน้าที่สำคัญในอดีต• ผู้บังคับหมวด กองพันทหารสื่อสารที่ 1 รักษาพระองค์
• อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
• ผู้พิพากษาสมทบศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
• ช่วยราชการสำนักงานเสนาธิการประจำเสนาธิการทหารบก
• ปฏิบัติหน้าที่ใน บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญและเลขานุการ ประธานกรรมการฯ
ตำแหน่งกรรมการกำกับดูแล การดำเนินงานและโครงการ
• อนุกรรมการบริหารโปรแกรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงศูนย์เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิว เตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
• อนุกรรมาธิการ ทรัพยากรน้ำ ในคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสนช.
• ที่ปรึกษาโครงการดาวเทียมเพื่อความมั่นคงศูนย์พัฒนากิจการอวกาศเพื่อความ มั่นคง กระทรวงกลาโหม
• หัวหน้าโครงวิจัย การศึกษาความเป็นไปได้การจัดสร้างพื้นที่ทดสอบความเข้ากันได้ทางแม่เหล็ก ไฟฟ้าและสอบเทียบสายอากาศ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สนับสนุนโครงการโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA)
• อนุกรรมการ การประชาสัมพันธ์ สื่อทางอินเทอร์เน็ต ศาลยุติธรรม
• ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหามาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาด ของเกมส์คอมพิวเตอร์ (ออนไลน์) ในสภาผู้แทนราษฎร
• กรรมการร่างหลักเกณฑ์ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมสื่อสาร และโครงข่ายสถานีวิทยุคมนาคมภาคพื้นดิน ภายใต้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)
• คณะทำงานกำหนดคุณลักษณะเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย และกำหนดขอบเขตการจ้างที่ปรึกษาในการออกแบบและพัฒนาระบบงาน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
• ที่ปรึกษาในคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (CIO Board) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
• อนุกรรมการปรับปรุงระบบข้อมูลสารสนเทศ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
• นักวิจัย Visiting Researcher, Asian Center for Research on Remote Sensing (ACRoRS); Asian Institute of Technology (AIT)
• นักวิจัย Visiting Researcher, FAU EMI R&D LAB, Boca Raton, Florida, USA
• ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรม ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
• ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัยและพัฒนา กระทรวงกลาโหม
• ผู้ประเมินนักวิจัยดีเด่นประจำปี ของสภาวิจัยแห่งชาติ
• Adjunct Professor, School of Information Technology, Southern Cross University, Australia
• Adjunct Professor, Southern Cross University, Australia (Cooperation with Narasuan University, Thailand)
• Adjunct Professor, University of Canberra, Australia (Cooperation with Narasuan University, Thailand)

ผล งานตีพิมพ์ทางวิชาการ• วารสารวิจัยระดับนานาชาติ 22 ฉบับ
• วารสารการประชุมทางวิชาการระดับชาติและนานาชาติ 63 ฉบับ

ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง นายทหารประจำกรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย, อาจารย์พิเศษโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กองบรรณาธิการ NGN Forum กทช., คณะกรรมการกำหนดและจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ และ Associate Professor of Southern New Hampshire University (Distance Learning Program), USA.

จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสารโทรคมนาคม จากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (เกียรตินิยมเหรียญทอง) ปริญญาโทและเอก ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสารโทรคมนาคมจาก Georgia Institute of Technology และ State University System of Florida (Florida Atlantic University) ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทุนกองทัพไทย จบการศึกษาหลักสูตรเสนาธิการทหารบก ในระหว่างรับราชการในกองบัญชาการกองทัพไทยได้รับคัดเลือกจากกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรต่อต้านก่อการร้ายสากล (Joint and Combined Warfighting, Counter Terrorism Fellowship Program) ที่ National Defense University, Washington D.C. และหลักสูตรการบริหารทรัพยากรเพื่อความมั่นคง (Defense Resource Management) ที่ Naval Postgraduate School, Monterey, CA ประเทศสหรัฐอเมริกา มีประสบการณ์การวิจัยหลายด้านเช่น Electromagnetic Interference and Compatibility (EMI/EMC), Mobile Cellular Communication, Satellite Communication, Broadband Communication และ ICT Management and Policy โดยมีผลงานตีพิมพ์ระดับนานาชาติทั้งในวารสารการประชุมระดับนานาชาติและ วารสารวิจัยระดับนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับมากกว่า 80 ฉบับ

มีประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายเช่น อาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, เลขานุการประธานกรรมการ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยมี พลเอกมนตรี สังขทรัพย์ เป็นประธานบอร์ด, คณะกรรมการกำกับดูแล การดำเนินงานและโครงการของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน), นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำเสนาธิการทหารบก, คณะกรรมการร่างหลักเกณฑ์ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมสื่อสาร และโครงข่ายสถานีวิทยุคมนาคมภาคพื้นดิน กทช., คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน, คณะทำงานวางระบบเทคโนโลยสารสนเทศ C4ISR กองทัพบก, ผู้พิพากษาสมทบศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง, คณะอนุกรรมการ การประชาสัมพันธ์ สื่อทางอินเทอร์เน็ต ศาลยุติธรรม, ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหามาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาด ของเกมส์คอมพิวเตอร์ สภาผู้แทนราษฎร, คณะอนุกรรมาธิการทรัพยากรน้ำในคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนช., ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรม ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัยและพัฒนา กระทรวงกลาโหม, ที่ปรึกษาโครงการดาวเทียมเพื่อความมั่นคง ศูนย์พัฒนากิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง กระทรวงกลาโหม, นักวิจัย (Visiting Researcher), Asian Center for Research on Remote Sensing (ACRoRS); Asian Institute of Technology, คณะอนุกรรมการบริหารโปรแกรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และกรรมการพิจารณาผลงานวิจัยในวารสารวิจัยระดับนานาชาติหลายแห่ง

พ.อ.รศ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ (นตท.26, จปร.37)
Mobile: 081-870-9621 email: settapong_m@hotmail.com

หนังดังเรื่องนี้ ไปดูมาแล้วยังคะ ?


เบื้องหลังหนังยอดเยี่ยมอย่าง Avatar ที่ใช้เทคโนโลยี Performance Capture ซึ่งพัฒนามาจาก Motion Capture ทำให้ดูสมจริง ละเอียด ลึกล้ำ และสุดยอด แต่รู้ไหมว่าเค้าต้องใช้คอมพิวเตอร์เท่าไหร่ในการสร้างหนังสุดฮอตเรื่องนี้



เบื้องหลังภาพที่สวยงามคือระบบคอมพิวเตอร์ รวมขนาด 40,000 โปรเซสเซอร์ อีกทั้งหน่วยความจำอีก 104 เทราไบต์ พร้อมระบบเครือข่าย 10 G ในอาณาจักร "Server Farm" 10,000 ตารางฟุต โดยบริษัท Weta Digital ผู้มีผลงานในภาพยนต์อันเรื่องชื่อที่ใครๆ ก็รู้จัก เช่น Lord of The Ring, X-Men : The Last Stand, District 9 เป็นต้น

รู้ไหมว่าเค้าต้องใช้เวลากว่าเดือนในการประมวลผลภาพยนต์เรื่องนี้ โดยใช้ความเร็วในการประมวลผล 8 กิกาไบต์ต่อวินาที ตลอด 24 ชั่วโมง

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.geek.com/articles/chips/the-computing-power-that-created-avatar-20091224/

อธิบายระบบระมวลผลกลุ่มเมฆง่ายๆ แบบอินเตอร์

ดูเพลินๆ งาน handmade น่ารักดี ^^ ช่างคิดเนอะ

Cloud Computing ระบบเหนือเมฆเป็นยังไง ไปดูกันเลย


เข้าใจกันมากขึ้นหรือยังเอ่ย ?
ขอบคุณรายการแบไต๋ไฮเทคอีกครั้งทีทำให้เทคโนโลยีเข้าใจง่ายขึ้น ^^

รู้จักกริดคอมพิวติ้งใน 5 นาที


รายงานพิเศษจากรายการแบไต๋ไฮเทค น่าสนใจมากจริงค่ะ ^^ เข้าใจง่ายด้วย

Grid Computing : เทคโนโลยีร่วมด้วยช่วยกัน

ภาพที่ 1 แสดงภาพรวมของกริดคอมพิวติ้ง

1. บทนำ

กริดคอมพิวติ้ง เป็นศาสตร์ที่อยู่ในสายเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (High Performance Computing - HPC) ซึ่งเป็นสายงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์อื่นๆ ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นในด้านการคำนวณ ประมวลผลหรือการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งล้วนก็เป็นเหตุผลประการสำคัญที่จะใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงให้มีประสิทธิภาพเต็มกำลังและคุ้มค่า กล่าวคือ ต้องการให้งานเสร็จไวและต้องการให้ได้งานในปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้นนั่นเอง

                ปัจจุบันเทคโนโลยีกริดเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกริดนี้อย่างกว้างขวาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณ ประมวลผล หรือแม้กระทั่งการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการนำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลอันรวดเร็วและแม่นยำ

2. คำจำกัดความ

ความหมายของกริดคอมพิวติ้งมีผู้นิยามให้ความหมายมากมายหลายประการ ยกตัวอย่างดังนี้

·        Ian Foster ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อทางด้านกริดคอมพิวติ้ง ได้ให้นิยามเกี่ยวกับกริดคอมพิวติ้งในบทความของเขา เรื่อง What is The Grid ว่า กริดคอมพิวติ้งเป็นการประมวลผลทรัพยากรที่ไม่ต้องผ่านส่วนกลาง และต้องใช้งานผ่านมาตรฐาน Open Source อีกทั้งได้รับบริการที่ดีมีคุณภาพ

·        Pawel Plaszczak และ Richard Wellner, Jr. ผู้ซึ่งแต่งหนังสือที่ได้รับความนิยมมาก คือ Grid Computing : The Savvy Manager’s Guide ได้นิยามเทคโนโลยีกริดว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดทรัพยากรเสมือน ซึ่งสามารถกำหนดได้ตามความต้องการและมีการบริการแบ่งปันทรัพยากรระหว่างองค์กร

·        กริดคอมพิวติ้ง คือ การนำเอาคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงหลาย เครื่องมาทำงานเชื่อมต่อกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวมเอาความสามารถในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานที่ต้องอาศัยความละเอียดในการคำนวณที่ซับซ้อน [1]

·        กริดคอมพิวติ้ง หมายถึง การรวบรวมทรัพยากรจากคอมพิวเตอร์หลายๆ หน่วยเข้าด้วยกัน มาช่วยในการทำงานร่วมกันในเวลาเดียวกัน [2]  

ซึ่งสังเกตได้ว่า คำนิยามของคำว่า “กริดคอมพิวติ้ง” ล้วนแต่นิยามไปในทิศทางเดียวกันว่าเป็นการนำเอาทรัพยากรคอมพิวเตอร์มาแชร์ (Share) หรือแบ่งปันกันนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูลจากต่างที่มาร่วมด้วยช่วยกันประมวลผลหรือทำงานร่วมกันในเวลาเดียวกัน แม้ว่าทรัพยากรต่างๆ จะกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างกันก็ตาม ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับงานที่ต้องการพลังการประมวลผล หรือคำนวณที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ซึ่งเดิมอาจจะต้องใช้เวลามากในการประมวลผล แต่เทคโนโลยีกริดสามารถลดระยะเวลาที่ใช้ลงได้เป็นอย่างมาก ทำให้ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น สะดวก และลดต้นทุนได้มาก

3. ที่มา

                กริดคอมพิวติ้งมีจุดเริ่มต้นมาจากความพยายามของกลุ่มคนที่ต้องการให้เครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีกระจัดกระจายอยู่หลากหลายสถานที่มาเชื่อมต่อกัน รวมกันเป็นระบบซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ โดยเอาความสามารถของทรัพยากรที่แตกต่างและห่างไกลกันมารวมไว้เสมือนว่าเป็นทรัพยากรชุดเดียวกัน ทำงานหรือแก้ปัญหาร่วมกัน โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงทรัพยากร เช่น การสั่งงาน การถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลได้ง่ายดาย  แม้กระทั่ง หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ที่ต้องการจะร่วมมือกันแก้ปัญหาใดๆ ก็สามารถใช้เทคโนโลยีกริดในการรวมทรัพยากรของแต่ละองค์กรเข้าด้วยกันได้เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ปัญหาที่ขนาดใหญ่ขึ้นได้ นอกจากนี้แล้วยังทำให้ผู้ใช้ของแต่ละองค์กรร่วมมือกันทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เองความร่วมมือลักษณะดังกล่าวจึงถูกเรียกว่าองค์กรเสมือน (Virtual Organization) เพราะเสมือนว่าข้อตกลงในความร่วมมือนั้น ทำให้องค์กรที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ สามารถรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกริดคอมพิวติ้งและองค์กรเสมือน

ภาพที่ 2 แสดงคุณลักษณะขององค์กรเสมือน

4. โครงสร้างของกริด

                โครงสร้างของกริดในปัจจุบันนั้น ได้มีผู้ให้นิยามไว้ว่าเป็นนาฬิกาทราย ทั้งนี้เพราะทรัพยากรที่อยู่ในกริดนั้นมีหลากหลายชนิดและรูปแบบซึ่งเป็นฐานของนาฬิกาทราย จากนั้นกริดจะต้องทำหน้าที่เป็นส่วนต่อประสาน (Interface) ในการเข้าถึงทรัพยากรเหล่านั้น โดยใช้รูปแบบของโพรโทคอลที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งจะอยู่ส่วนที่เป็นคอของนาฬิกาทราย จากนั้นแล้วผู้พัฒนาโปรแกรมที่ใช้งานบนกริดซึ่งอยู่ ณ ส่วนบนสุดของนาฬิกาทราย ก็สามารถสร้างโปรแกรมกริดที่หลากหลายขึ้นได้จากการเรียกใช้งานส่วนต่อประสานนี้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกใช้งานทรัพยากรที่อยู่ในระดับล่างด้วยตนเอง

ภาพที่ 3 แสดงโครงสร้างนาฬิกาทรายของกริดคอมพิวติ้ง

ด้วยเหตุนี้การสร้างกริดในปัจจุบัน จึงต้องใช้การทำงานของกริดมิดเดิลแวร์ [3] (Grid Middleware) เช่น Globus Toolkit [4] และโปรแกรม Open SCE ซึ่งพัฒนาโดยศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ เป็นต้น โดยโปรแกรมเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นส่วนต่อเชื่อมเราเข้ากับระบบกริด ไม่ว่าเครื่องของเรานั้นจะเป็นระบบปฎิบัติการใดก็ตาม แล้วด้วยความสามารถของกริดมิดเดิลแวร์ จะทาให้เราเข้าถึงบริการพื้นฐานต่าง เช่น การสั่งงาน การถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล โดยไม่ต้องเรียนรู้การใช้งานเครื่องเหล่านั้นได้โดยตรง

โครงสร้างของกริดนั้นมุ่งเน้นไปการทำทุกอย่างให้เป็นมาตรฐาน จึงทำให้หลากหลายหน่วยงานสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้โดยง่าย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กริดได้รับความสนใจอย่างมากดังเช่นในปัจจุบันและด้วยแนวทางในปัจจุบันของกริดที่กำลังมุ่งเข้าสู่เว็บเซอร์วิส [5] ทำให้บริการพื้นฐานต่างๆ ของกริดนั้น ได้เปลี่ยนไปให้บริการผ่านเว็บเซอร์วิสด้วย อันทำให้โครงสร้างพื้นฐานของกริดนั้นได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น

5. รูปแบบของกริดคอมพิวติ้ง

กริดคอมพิวติ้ง สามารถแบ่งออกได้ 3 รูปแบบ ตามลักษณะของการทำงาน ดังนี้

5.1 คอมพิวเตชันนอลกริด (Computational Grid) คือ กริดที่เน้นการประมวลผล การคำนวณสูง

5.2 ดาต้ากริด (Data Grid) คือ กริดที่เน้นการใช้ข้อมูลมหาศาล

5.3 แอคเซสกริด (Access Grid) คือ กริดสำหรับติดต่อสื่อสารระยะไกล

ภาพที่ 4 แสดงตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Computational Grid

ภาพที่ 5 แสดงการใช้งาน Access Grid ในการประชุมทางไกล

6. ทรัพยากรที่อยู่ในระบบกริด

6.1 กลุ่มคน (Peopleware) : ผู้ใช้ (user), นักวิจัย (Researcher), ผู้ควบคุมระบบ

6.2 คอมพิวเตอร์(Hardware) : คลัสเตอร์ (Cluster), ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ (File server)

6.3 แอพพลิเคชัน (Application) : กริดมิลเดิลแวร์ (Grid Middleware), โปรแกรมของผู้ใช้ (User Application)

6.4 ข้อมูล (Data) : ฐานข้อมูล (Database), ผลลัพธ์การประมวลผล (Result)

6.5 เครือข่าย (Network) : ช่องทางการส่งข้อมูล

ภาพที่ 6 แสดงภาพรวมของเทคโนโลยีกริด

7. World Wide Grid (WWG)

                เทคโนโลยีเครือข่ายแนวใหม่ที่ใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมโยงและกระจายทรัพยากรให้กัน โดยยึดรูปแบบคล้ายกริดคอมพิว ติ้ง คือการแชร์ทรัพยากรทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะในด้านการประมวลผล ความจุ หรือ สมรรถนะในการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งจะสามารถเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้อย่างสะดวกและรวดเร็วพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเชื่อมโยงกันผ่านอินเทอร์เน็ตอีกครั้งหนึ่ง จึงเรียกว่า world wide grid

ภาพที่ 7 แสดงภาพรวมของ WWG

8. ประโยชน์ของกริดคอมพิวติ้ง

8.1 สามารถแชร์ทรัพยากรได้ ทำให้ทรัพยากรทางไอทีถูกใช้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

8.2 สามารถสร้างระบบที่แลกเปลี่ยนและเพิ่มข้อมูลอย่างรวดเร็วปลอดภัยที่เรียกว่า Data Grid

8.3 สามารถทำให้งานวิจัยยากๆ ที่ต้องอาศัยการประมวลผลและคำนวณสูง ซึ่งงานที่ทำหากทำด้วยคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปีจึงจะประมวลผลหรือคำนวณเสร็จ แต่เทคโนโลยีนี้สามารถลดระยะเวลาให้เหลือเวลาในการคำนวณในระดับเป็นวัน เป็นชั่วโมงเท่านั้น

8.4 สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจด้านสารสนเทศโดยอาศัยเทคโนโลยี Grid ช่วยขจัดปัญหาค่าใช้จ่ายด้านทรัพยากรคอมพิวเตอร์ หรือช่วยในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่มากมายมหาศาล

ภาพที่ 8 แสดงตัวอย่างการประมวลผลของกริด

9. บริการของกริด

9.1 บริการประมวลผล (Computational Service) เป็นรูปแบบของการให้บริการพลังการ ประมวลผล โดยรับงานจากผู้ใช้ และหาเครื่องที่เหมาะสมเพื่อประมวลผลงานนั้น ระบบกริด ที่ให้บริการรูปแบบนี้ มักถูกเรียกว่า Computational Grid

9.2 บริการข้อมูล (Data Service) ให้บริการเนื้อที่ในการเก็บและค้นหาข้อมูลซึ่งข้อมูลเหล่านั้น อาจถูกเก็บกระจายอยู่ ณ สถานที่ต่างๆ และมีผู้ดูแลคนละคนกัน ระบบนี้ยังครอบคลุมถึงการรักษา ความปลอดภัยของข้อมูลภายในระบบด้วย Application ที่ต้องในรูปแบบการให้บริการนี้ มักจะเป็น Application ที่มีปริมาณและขนาดของข้อมูลมาก และข้อมูลกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ทำให้ยากแก่การเข้าถึงข้อมูล ตัวอย่างเช่น High Energy Physics และ Drug Design ระบบที่ให้บริการรูปแบบนี้จะถูกเรียกว่า Data Grid

9.3 บริการโปรแกรมประยุกต์ (Application Service) เป็นระบบที่ทำหน้าที่จัดการและจัดสรร การใช้งาน Application เช่น Software หรือ Library ที่อยู่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งในปัจจุบันรูปแบบการให้ บริการมักจะอยู่ในรูปแบบของ Web Service ซึ่งการให้บริการนี้ จะทำงานอยู่บน Computational Service และ Data Service ตัวอย่างของระบบนี้ได้แก่ NetSolve

9.4 บริการสารสนเทศ (Information Service) เป็นรูปแบบการดึงและนำเสนอข้อมูลที่ถูกใช้โดย Computational Service Data Service และหรือ Application Service ซึ่งจะเกี่ยวกับ วิธีการนำเสนอ จัดเก็บ เข้าถึง แบ่งปัน และดูแลรักษาข้อมูลภายในระบบ เครื่องมือหลักที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในปัจจุบัน คือ Web

9.5 บริการองค์ความรู้ (Knowledge Service) จะเกี่ยวข้องกับความรู้ที่ได้จากการทำงาน ประกอบด้วยวิธีการที่จะได้มา การใช้ การนำมาใช้ การประกาศ และการดูแลรักษาความรู้ต่างๆภายใน ระบบเครื่องมือที่นำมาใช้ คือ Data Mining

            

ภาพที่ 9 แสดงตัวอย่างการนำกริดไปประยุกต์ใช้

10. การประยุกต์ใช้กริดคอมพิวติ้ง

                มีการนำกริดคอมพิวติ้งไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นด้านอุตสาหกรรม ด้านความบันเทิง ด้านการศึกษา หรือแม้กระทั่งด้านสาธารณสุข เป็นต้น โดยข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างการนำกริดคอมพิวติ้งไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ อย่างน่าสนใจ ดังนี้

10.1 Grid Computing ทางด้านนาโนเทคโนโลยี

กริดคอมพิวติ้ง สามารถช่วยในการผลิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดจิ๋วระดับนาโนได้ เช่น Microbot และ anodevices เป็นต้น ซึ่งมีความสามารในการจัดการ ควบคุม ประกอบสร้าง และผลิตสิ่งต่าง ๆ ด้วยความแม่นยำในระดับอะตอม ยกตัวอย่างเช่น การผลิต Microbot ที่เป็น Nanomedicine เป็นอุปกรณ์ช่วยในการจ่ายยาให้กับผู้ป่วย ทำการฝังเซนเซอร์ไว้ใต้ผิวหนัง โดยที่อุปกรณ์ประกอบด้วยส่วนที่ทำงานหลายส่วน ได้แก่ แผงควบคุมเริ่มทำงานเมื่อผู้ป่วยต้องการยา ไบโอเซนเซอร์คอยวัดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย ที่บรรจุตัวยาพร้อมตัวยาที่ปล่อยออกมา ช่องควบคุมการปล่อยตัวยา โดยอุปกรณ์ชื่อว่า เบรคีซิล (BrachySil)ของบริษัททางชีวเทคโนโลยี ไซวิดา (pSivida) ได้พัฒนาขึ้นใช้ในการขนส่งยาไปสู่ตำแหน่งที่มีมะเร็งโดยตรง

ภาพที่ 10 แสดงตัวอย่างการนำกริดไปประยุกต์ใช้ทางด้านนาโนเทคโนโลยี

10.2 Grid Computing ทางด้านภูมิอากาศ

การคำนวณทางด้านสภาวะอากาศ ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงในการประมวลผล ตัวอย่างเช่น การแสดงผลของอุณหภูมิของภูมิอากาศจากฐานข้อมูลออนไลน์ขนาดใหญ่ และมีการแสดงข้อมูลเป็นปัจจุบัน สามารถติดต้านภูมิอากาศและช่วยในการพยากรณ์ของการต่อตัวของพายุที่จะนำไปสู่การเกิดน้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ ภาพนี้ช่วยในการคาดเดาสภาพอากาศโดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม GOES9 ได้จากภาพล่าสุด 12 ภาพ(ประมาณ 12 ชม. จนถึงปัจจุบัน) สร้างจากโปรแกรมที่สร้างขึ้นใน Mathematica ของหน่วยวิจัยความเป็นเลิศของระบบซับซ้อน มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

ภาพที่ 11 แสดงตัวอย่างการนำกริดไปประยุกต์ใช้ทางด้านภูมิอากาศ

                10.3 Grid Computing ทางด้านภูมิประเทศ

การจำลองภาพสามมิติของภูมิประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการจัดการทรัพยากรของประเทศ การพัฒนาที่ดิน ตลอดจนการวางแผนยุทธศาสตร์ทางทหาร แบบจำลองที่ได้นี้จะได้มาจากการสร้างแบบจำลองจากแผนที่ทางทหารจำนวนมากประกอบกับแผนดาวเทียมที่อาศัยเทคโนโลยีรีโมทเซนซิ่ง และแผนที่จะต้องมีความต่อเนื่องกัน ต้องใช้เวลาในการประมวลผลหลายวัน โดยอาศัยคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงช่วยในการประมวลผลภาพจากโปรแกรม Google Earth เราสามารถเห็นอาคารใน 3 มิติ จากพื้นดินขึ้นไปในหลาย ๆ สถานที่ทั่วโลก และรวมถึงเราสามารถเห็นภูเขา ป่าไม้ หมู่บ้าน ถนน ได้เช่นเดียวกัน

ภาพที่ 12 แสดงตัวอย่างการนำกริดไปประยุกต์ใช้ทางด้านภูมิประเทศ

                10.4 Grid Computing ทางด้านฐานข้อมูล

บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Oracle ด้านฐานข้อมูล ได้เล็งเห็นความเห็นว่า Grid Computing จะมีอิทธิพลอย่างมากสำหรับองค์กรขนาดใหญ่และบริษัท Outsourcing ในการขยายขีดความสามารถของระบบ ฐานข้อมูลของ Oracle จะรองรับ Grid Computing ใน Database 10g โดยเทคโนโลยี Transaction Processing Performance Council หรือ TCP-H ช่วยให้การทำงานบนระบบปฏิบัติการ Linux เพิ่มขึ้นได้สูงถึงระดับ Terabyte ขณะที่ IBM ก็มี DB2 Universal Database Grid Services ที่พิสูจน์ความสามารถทางด้านนี้ โดย Charless Schwab ซึ่งใช้เครื่องมือจาก Globus Toolkits และ Red Hat เป็นตัวพัฒนา ซึ่งผลที่ได้ก็คือเวลาในการใช้งานแอพพลิเคชันทางการเงินของ Charless Schwab ลดลงจาก 4 นาทีเหลือเพียง 15 วินาทีเท่านั้น

                                    

ภาพที่ 13 แสดงต้นแบบ Data Center สีเขียวของประเทศไทยของบริษัท ทีซีซี เทคโนโลยี จำกัด

10.5 Grid Computing ทางด้านการออกแบบเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และยานพาหนะ

นิยมสร้างแบบจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์ การรันโปรแกรมที่ใช้ในการออกแบบ CAD/CAM ค่อนข้างจะใช้ระยะเวลาเวลานาน จึงมีผู้ผลิตอุปกรณ์และผู้ผลิตยานพาหนะบางรายนำเทคโนโลยีกริดไปประยุกต์ใช้

ภาพที่ 14 แสดงการจำลองด้านการออกแบบโดยใช้กริดคอมพิวติ้ง

10.6 Grid Computing ทางด้านการจำลองแบบทางฟิสิกส์

โปรแกรมการจำลองแบบด้านฟิสิกส์มีความต้องการการคำนวณสูง ดังนั้น จึงมีผู้ประยุกต์ใช้ Linux Grid มากขึ้นเรื่อยๆ

10.7 Grid Computing ทางด้านการจำลองแบบทางเคมี

วิทยาการทางด้านเคมีเริ่มหันมาใช้การจำลองแบบมากขึ้น เช่น การจำลองแบบมลพิษในทางอากาศ

ภาพที่ 15 แสดงการจำลองแบบมลพิษทางอากาศ

10.8 Grid Computing ทางด้านการจำลองแบบทางชีววิทยา

มีผู้นิยมใช้ซอฟต์แวร์การจำลองแบบ เพื่อจำลอง DNA การจำลองเซลล์ของกล้ามเนื้อ

ภาพที่ 16 แสดงการจำลองด้าน Bio Grid

10.9 Grid Computing ทางด้านธุรกิจภาพยนตร์

ในการสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ Computer Graphics หรือ CG เพื่อสร้างความสมจริงให้กับภาพยนตร์นั้นจะต้องใช้เวลาในการสร้างภาพ (Render) ในแต่ละเฟรมค่อนข้างนาน เช่น AI, Monster Inc., Lord of the Ring, Shrek, X-MEN, AVATAR  เป็นต้น

ภาพที่ 17 เทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง AVATAR

10.10 Grid Computing ทางด้านธุรกิจเวบไซด์

Search Engine ชื่อดังเช่น Google เองก็อาศัยเทคโนโลยีนี้ในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลในแต่ละวันโดยใช้โปรเซสเซอร์จำนวน 15,000 ตัว

ภาพที่ 18 Search Engine ชื่อดัง ที่ทุกคนก็รู้จักและมีผู้ใช้มากที่สุดในโลก

ภาพที่ 19 Google Company บริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์

ก่อตั้งโดยแลรี่ เพจและเซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

                10.11 Grid Computing ทางด้านการวิจัย

มีการใช้เทคโนโลยีกริดในการคิดค้นตัวยา โดยนายจักร แสงมา อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในทีมงานผู้ทำงานโครงการสำรวจตัวยา (Drug Discovery Project) กล่าวว่าเทคโนโลยีกริด ช่วยให้การประมวลผลเร็วขึ้น ได้ผลวิเคราะห์ในเวลา 3 เดือน จากปกติใช้เครื่องแม่ข่าย 1 เครื่อง ที่มีความเร็ว 2.6 กิกะเฮิรตซ์ และแรม 1 กิกะไบต์ ต้องใช้เวลา 2 ปี จึงช่วยลดความเสียเปรียบของไทย ที่ขาดบุคลากรผู้ศึกษาทดลองเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากสมุนไพรไทย

ภาพที่ 20 ตัวอย่างการจำลองผลการทดลอง โดยใช้เทคโนโลยีกริด

11. กริดคอมพิวติ้งในประเทศไทย

                ในประเทศไทยนั้น ได้มีผู้ที่สนใจและเชี่ยวชาญในเรื่องของเทคโนโลยีกริดนั้นมากมาย ซึ่งรัฐบาลก็ได้สนับสนุนเพราะถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์มากมาย โดยเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2547 ได้มีการจัดตั้งศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ หรือ ศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีกริดแห่งชาติตามมติคณะรัฐมนตรี โดยสังกัดอยู่ภายใต้สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทสและการสื่อสาร

ภาพที่ 21 โลโก้ศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ

ภาพที่ 22 หัวใจสำคัญของศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ “เทราฟลอป”

                ศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่ อาคารกิจกรรมนิสิตเก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยภายในแบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนของสำนักงานและส่วนของห้องระบบคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ ที่บรรจุเครื่องแม่ข่ายกริดสมรรถนะสูงถึง 3 เทราฟลอปอีกทั้งยังมีเครือข่ายลูกตามสถาบันการศึกษาและพันธมิตรกว่า 20 หน่วยงาน ซึ่งส่วนใหญ่งานที่จะมาใช้งานเป็นงานเชิงแนววิจัยเสียมากกว่าทางธุรกิจ

ภาพที่ 23 หน้าตาสำนักงานของศูนย์เชี่ยวชาญทางด้านกริดคอมพิวติ้ง

สำหรับประเทศไทยนั้น ศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ จะเป็นศูนย์วิจัยที่มีเครื่องมือ และระบบประมวลผลขนาดใหญ่ และทันสมัยในระดับภูมิภาค โดยปัจจุบัน ระบบกริดในประเทศไทยที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของโครงการศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีกริดแห่งชาติ ประกอบด้วยระบบคลัสเตอร์หลักทั้งหมด 16 ระบบ โดยมี 160 หน่วยประมวลผล และมีหน่วยความจำรวมทั้งหมดประมาณ 320 GB ซึ่งระบบทั้งหมดได้มีการติดตั้ง และเชื่อมต่อกันเป็นระบบกริดแล้ว

สำหรับระบบคลัสเตอร์แม่ข่ายกลางนั้นมีหน่วยประมวลผลแบบ Dual Core ทั้งหมด 400 หน่วย มีหน่วยความจำรวม 1.1 เทราไบต์ ระบบเก็บข้อมูลภายใน 21 เทราไบต์ และระบบสำรองข้อมูลอีก 48 เทราไบต์ โดยระบบแม่ข่ายกริดที่เรียกว่า Tera Cluster นั้นมีสมรรถนะสูงถึง 2.5 เทราฟลอบ และจากการทดสอบด้วยโปรแกรมทดสอบ High Performance Linpack พบว่า ระบบไทยกริดเป็นระบบกริดที่ใหญ่ และมีสมรรถนะสูงที่สุดระบบหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางด้านเครือข่าย

12. อ้างอิง

·        ศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ. ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีกริด. www.thaigrid.or.th

·        Wikipedia : The Free Encyclopedia. Grid Computing. http://en.wikipedia.org/wiki/Grid_computing

·        วิชาการดอทคอม โดย เพิ่ม อ่อนประทุมและคณะ. Grid Computing. http://www.vcharkarn.com/varticle/16300

·        วิชาการดอทคอม โดย รชตภรณ์ กุลแพทย์. Grid Computing. http://www.vcharkarn.com/vblog/33291/1/30

·        Vizible’s Blog. Globus Toolkit Installation. http://vizible.wordpress.com/2008/05/27/globus-toolkit-installation/

·        วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. เว็บเซอร์วิส. http://th.wikipedia.org/wiki

·        Knowledge Based Society. Grid Technology of Thailand. http://tn-home.blogspot.com/2009/08/grid-technology-of-thailand.html

·        Google GURU. Grid Computing คืออะไร. http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=731f9427f8166534





[1]  ที่มา : ศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ

[2]  ที่มา : กูเกิ้ล กูรู

[3]  เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากในเทคโนโลยีกริดเพราะเป็นส่วนกลางที่ช่วยให้ระดับชั้นสูง (High-level) สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่มีความหลากหลายมาก เป็นส่วนกลางในการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับทรัพยากรที่กระจัดกระจาย รองรับความหลากหลายของทรัพยากร

[4]  เป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนาโปรแกรมบน Grid พัฒนาโดย Globus Alliance  นำไปประยุกต์ใช้ตามมาตรฐาน Open Grid Services Architecture (OGSA)

[5]   คือ ระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมา เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ XML

Cloud Computing : ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ (ตอนอวสาน)

ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค

จากผลการวิจัยล่าสุด ไอบีเอ็ม คาดว่าคลาวด์ คอมพิวติ้งจะถูกใช้งานเพิ่มมากขึ้นในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า สืบเนื่องจากแนวโน้มต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคในวงกว้าง 5 ประการคือ

1. แนวโน้มการใช้งานเว็บ 2.0 ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟมากขึ้น

ปัจจุบัน ด้วยแนวโน้มของเทคโนโลยีเว็บ 2.0 ซึ่งเนื้อหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล รูปภาพ วีดิโอคลิป หรือ ไฟล์เสียงภายในเว็บมีการเปลี่ยนแปลงโดยผู้ใช้ทั่วโลกอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น Wikipedia และ YouTube แนวโน้มการใช้งานเว็บ 2.0 ปัจจุบันเป็นที่นิยมทั้งระดับผู้ใช้ทั่วไปและพนักงานองค์กรซึ่งต้องใช้เว็บ 2.0 ในการประสานงานร่วมกันสำหรับโครงการต่าง ๆ

ด้วยแนวโน้มด้านเทคโนโลยีเว็บ 2.0 นี้เอง ระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง จึงเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นเทคโนโลยีที่มีสมรรถนะและประสิทธิภาพสูงแล้ว ยังตอบสนองความต้องการของทำงานของเว็บไซท์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหรือข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ด้วยการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีของคลาวด์ คอมพิวติ้งในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลภายในเวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที ตัวอย่างองค์กรที่ใช้ประโยชน์จากคลาวด์ คอมพิวติ้งในปัจจุบัน ได้แก่ ไชน่า เทเลคอม (China Telecom) และโซเกตี้ (Sogeti) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการระดับผู้เชี่ยวชาญในยุโรป โดยเฉพาะโซเกตี้ ได้มีการใช้คลาวด์ คอมพิวติ้งภายในองค์กร เพื่อระดมความคิดของพนักงานผ่านระบบออนไลน์แบบเรียลไทม์  ซึ่งคลาวด์ คอมพิวติ้งจะช่วยรวบรวมข้อเสนอแนะและไอเดียจากพนักงานของโซเกตี้ 18,000 คน และจัดเรียง วิเคราะห์ข้อมูลในแบบเรียลไทม์เพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ ดังกล่าวที่ได้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงธุรกิจ

2. ความต้องการประสิทธิภาพทางด้านการประหยัดพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น

สืบเนื่องจากวิกฤติการณ์ด้านพลังงานและกระแสความตระหนักเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน องค์กรหลายแห่งจึงหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องไอทีประหยัดพลังงาน เนื่องจาก ความสามารถในการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะการจัดการพลังงานในระบบดาต้าเซ็นเตอร์ เทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง จึงเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในระดับต้น ๆ จากข้อมูลล่าสุดของอินโฟ-เทค รีเสิร์ช กรุ๊ป (Info-Tech Research Group) ระบุว่า เซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่ที่มีการทำงานตลอดเวลา โดยมากใช้ทรัพยากรในระบบเพียง 10-20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น  แต่ด้วยการจัดการระบบด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง ทรัพยากรทางด้านไอทีจะถูกผนวกรวมศูนย์เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยองค์กรประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน  โดยเทคโนโลยีจะช่วยองค์กรเพิ่มหรือลดขนาดของระบบได้ตามต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้เพื่อให้สิ้นเปลืองพลังงานแต่อย่างใด

3. แนวโน้มความต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ ในภาคธุรกิจ

ปัจจุบัน นอกจากการแข่งขันในเชิงธุรกิจแล้ว บริษัทต่างๆ ยังจำเป็นที่จะต้องนำเสนอสินค้า บริการ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอยู่ตลอดเวลา โดยบริษัทเหล่านี้มองว่าเทคโนโลยีจะมีส่วนช่วยให้ได้การคิดค้นต่าง ๆ ทำได้เร็วยิ่งขึ้น และด้วยความต้องการในการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องนี้เอง มีส่วนทำให้องค์กรหลายแห่งจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง ซึ่งให้พลังการประมวลผลสมรรถนะสูงกว่า แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า

4. ความต้องการใช้งานเทคโนโลยีให้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

ในปัจจุบัน ยิ่งเทคโนโลยีมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเท่าใด ผู้ใช้งานก็ต้องการใช้งานเทคโนโลยีให้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น ด้วยแนวโน้มการใช้ซอฟต์แวร์ในรูปแบบของบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตนับเป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวโน้มที่ช่วยตอบสนองความต้องการใช้งานง่ายของผุ้ใช้ อีกทั้งยังเป็นการบุกเบิกการใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้งไปในตัวด้วย ด้วยแนวโน้มดัวกล่าวนี้เอง ทำให้องค์กรหลายแห่งเลือกที่จะซื้อบริการ แทนการซื้อซอฟต์แวร์มาใช้โดยตรง (Software as a service) ซึ่งข้อดีคือ องค์กรจะได้มีโอกาสใช้ซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยอยู่เสมอ ไม่ต้องรับมือกับความยุ่งยากซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการหรือการอัพเกรดซอฟต์แวร์ที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลา

ด้วยความสามารถของคลาวด์ คอมพิวติ้งที่นำมาใช้ในการให้บริการทางด้านซอฟท์แวร์ มีผลช่วยลดความยุ่งยากซับซ้อนให้กับระบบไอทีทั้งหมด เพราะองค์กรอาจใช้บริการจากคลาวด์ คอมพิวติ้งที่ถูกโฮสต์ไว้ภายนอกและซื้อใช้ในรูปแบบของบริการแทนที่จะต้องลงทุนซื้อซอฟท์แวร์มาใช้เอง ซึ่งวิธีการดังกล่าวถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และมีพนักงานฝ่ายเทคนิคอยู่อย่างจำกัด 

5. ปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา

เนื่องจากข้อมูลมหาศาลที่มีอยู่ในเว็บไซต์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน การจัดการข้อมูลในเว็บถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง แต่ด้วยความสำเร็จของเทคโนโลยีการค้นหาข้อมูล เช่น กูเกิ้ล ทำให้โลกได้เห็นถึงความสำคัญในการจัดระเบียบและการกำหนดโครงสร้างเว็บที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากปริมาณข้อมูลต่าง ๆ ในเว็บเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกทุกวินาที

ในแต่ละวัน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายล้านคนแลกเปลี่ยน ค้นหาข้อมูล รูปภาพ และเสียงผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งหากการค้นหาข้อมูลที่ต้องการไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำแล้ว ประโยชน์ของเว็บในฐานะเครื่องมือสำคัญในการทำงานก็อาจลดน้อยลง แต่ด้วยประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้งนี้เอง ทำให้มาตรฐานและการจัดการข้อมูลอันมากมายและหลากหลายในเว็บทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะระบบใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพการประมวลผลที่เหนือกว่าของคลาวด์ คอมพิวติ้ง เพื่อบริหารจัดการข้อมูลจำนวนมาก รวมทั้งใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นเพื่อจัดการความซับซ้อนของข้อมูลในเว็บให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น

ในทศวรรษหน้า เทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้งจะมีพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนี้เองจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเทคโนโลยีอื่น ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน

ภัยคุกคามสำหรับ Cloud Computing

แม้ว่า cloud computing จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้อย่างมากมาย อาทิ ได้ใช้บริการทางด้าน IT ในราคาถูกลง,องค์กรสามรถบริหารจัดการ IT ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ,ทำให้ธุรกิจสามารถมุ่งความสนใจไปยัง core business ของตนเองได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบริหารจัดการ IT เป็นต้น แต่ทั้งนี้เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ

แต่การใช้ cloud computing นั้นก็มีความเสี่ยงจากภัยคุกคามเช่นเดียวกับการใช้เทคโนโลยีอื่นๆ โดยทาง CSA หรือ Cloud  Security Alliance ได้ทำการสรุปประเภทของภัยคุกคามที่จะเกิดกับ  cloud computing เอาไว้  7 ประเภท ดังนี้

1. Abuse and nefarious use of cloud computing การใช้ cloud computing ในทางที่ผิด อย่างเช่น hacker ทีจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดของ cloud

2. Insecure interfaces and APIs ความน่าเชื่อถือในด้าน security และ availability เนื่องจากผู้ใช้บริการจะอาศัย

API ในการติดต่อกับ Backend software และเซอร์วิสต่างๆที่อยู่ใน cloud จึงอาจเป็นช่องทางที่ผู้ไม่หวังดีสามารถใช้เข้าโจมตีและเข้าถึงเซอร์วิสต่างๆได้โดยตรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลและการรักษาความลับของข้อมูลใน cloud

3. Malicious insiders ภัยคุกคามที่เกิดจากคนใน จากฝั่งผู้ให้บริการเอง เช่น พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกินกว่าสิทธิของตนเองที่จะเข้าถึงได้

4. Shared technology issues เป็นปัญหาเกี่ยวกับ Software ที่ใช้ในการจัดการการแชร์ระบบและทรัพยากรต่างๆแก่ผู้ใช้เกิดความผิดพลาด หรือมี bug ทำให้เป็นช่องโหว่ที่ทำให้ hacker สวมรอยเข้ามาเป็นผู้ใช้บริการ cloud แล้วทำการเจาะระบบของผู้ใช้รายอื่นผ่านทางระบบที่ตนเองใช้งานอยู่ได้

                5. Data loss or leakage การรั่วไหลของข้อมูล เนื่องจากอาจมีผู้อื่นมาใช้งานบน cloud โดยไม่ได้รับอนุญาต

6. Account or service hijacking การถูกขโมยใช้งานเซอร์วิสต่างๆ,การ Phishing,การถูกโจมตีตามช่องโหว่ของ software ที่ไม่ได้มีการ patch ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้ใช้ใช้ password เดิมซ้ำๆอยู่นาน หรือไม่มีการเปลี่ยน password ในเวลาที่เหมาะสม

7. Unknown risk profile เนื่องจากบริการของ cloud นั้น ทางผู้ให้บริการไม่ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของการดำเนินการภายในทำให้ผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงเพราะไม่รู้ว่าความเสี่ยงคืออะไรทำให้ไม่สามารถเตรียมการรองรับได้

ท้ายที่สุดการพัฒนาเฉพาะในส่วนเทคโนโลยีทั้งทางด้านประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์  ความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร  แอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย อาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง สิ่งสำคัญที่สุดคือรูปแบบบริการที่นำเสนอควรจะเหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ทั้งในระดับองค์กรและระดับบุคคลภายใต้สภาพแวดล้อมของกลุ่มเมฆ

ที่มา

1. วิชาการดอทคอม. 2551. ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ. จาก http://www.vcharkarn.com/vblog/38378

2. กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์. โดย ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการธุรกิจคอมพิวเตอร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด. เมฆเกี่ยวอะไรกับคลาวด์ คอมพิวติ้ง. จาก http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/07/news_283281.php

3. บทความใน นิตยสาร E-Commerce Magazine [January No.133 ปี 2010]. Private Cloud Computing : วันนี้ทุกคนมีกลุ่มเมฆส่วนตัว.

4. Suntos’s Blog. ภัยคุกคาม 7 อย่างสำหรับ Cloud Computing. จาก http://suntos.wordpress.com/2010/06/20/-cloud-computing/

5. JavaBoom Collection. Cloud Computing. จาก http://javaboom.wordpress.com/

Cloud Computing : ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ ภาค 3

บริการโครงสร้างพื้นฐานกลุ่มเมฆ (Cloud Infrastructure)

คือผู้ให้บริการต้องนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ด้านการประมวลผลมาให้บริการผ่านเครือข่าย โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานสภาพแวดล้อมการทำงานเสมือนจริง โดยผู้ให้บริการที่ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานกลุ่มเมฆที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ได้แก่  Amazon Elastic Compute Cloud Skytap Sun Grid 

บริการแพลทฟอร์มกลุ่มเมฆ (Cloud Platform)

คือ มาตรฐานให้แก่ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น ตัวอย่างผู้ให้บริการแพลทฟอร์มกลุ่มเมฆ เช่น Google App Engine Heroku Mosso Engine Yard Joyent force.com(Saleforce platform)

บริการระบบกลุ่มเมฆ (Cloud Software System)

คือ บริการซอฟต์แวร์ระบบเพื่อรองรับการทำงานร่วมกันของเครื่องคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย ในระดับกลุ่มเมฆ กับกลุ่มเมฆ และระดับผู้ใช้กับกลุ่มเมฆ ตัวอย่างบริการกลุ่มเมฆ เช่น Amazon Web Service Amazon Simple Queue Service Amazon Mechanical Turk

บริการจัดเก็บข้อมูลกลุ่มเมฆ (Cloud Storage)

คือ การนำความสามารถด้านหน่วยความจำไปให้บริการบนเครือข่าย รวมทั้งบริการด้านฐานข้อมูล (Database) โดยมีแนวคิดเหมือนการทำ Data Center เพื่อบริการงานทางด้านข้อมูลแก่ผุ้ใช้ โดยมีการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง ซึ่งตัวอย่างผู้ที่ให้บริการจัดเก็บข้อมูลกลุ่มเมฆ คือ Amazon Simple Storage Service Amazon SimpleDB Live Mesh Mobile Me

Private Cloud Computing

คือ การให้บริการด้าน Cloud Computing ในแบบความเป็นส่วนตัว โดยผู้ให้บริการต้องเก็บข้อมูลความลับของผู้ใช้บริการ ไปจนถึงกระบวนการจัดเก็บที่รัดกุม ซึ่งถ้าหากเกิดการรั่วไหลของข้อมูล ก็จะเกิดปัญหาด้านความน่าเชื่อถือของบริการ ซึ่งจะสามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจของผู้ใช้บริการ แนวคิด Private Cloud Computing เป็นรูปแบบลักษณะหนึ่งในประเภทของ Cloud Computing ซึ่งแตกต่างกับ Public Cloud เพราะเป็นการทำงานและให้บริการบน Computer Servers มีระบบเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ทำงานผ่านเครือข่าย Networks ที่เป็นของผู้ใช้ บริการ Cloud Service เอง หรือเปิดให้ใช้เฉพาะผู้ใช้บริการรายนั้นส่วนตัว จึงเรียกว่า Private Cloud โดยที่ผู้ใช้บริการเป็นผู้ควบคุมและจัดการระบบเอง ซึ่งผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ติดตั้ง Setup และ Support เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยและความต้องการในเรื่องปรับแต่ง แก้ไขระบบของผู้ใช้บริการ

เมื่อองค์กรขนาดใหญ่หรือธุรกิจขนาดใหญ่ต่างมีความต้องการในเรื่อง การบริหารจัดการข้อมูลองค์กรและธุรกิจในจำนวนที่มากขึ้น และต้องการความมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งการบริหารจัดการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จำพวกฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการ ใช้งานที่ต่างแพลตฟอร์ม เวอร์ชั่น หรือซอฟต์แวร์ที่ซื้อจากบริษัทที่มีแฟลตฟอร์มในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จำเป็น ต้องใช้ต่างกัน จะทำให้การบริหารจัดการองค์กรเป็นไปได้ Private Cloud จึงเป็นตัวช่วยในการแก้ปัญหาขั้นต้น ทำให้การบริหารจัดการหรือการขยายระบบเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น

ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีด้านนี้จะทำให้อะไรหลายอย่างดูง่ายขึ้น สำหรับองค์กรด้าน IT และ เป็นทางเลือกที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับผู้ใช้บริการ Cloud ไม่ว่าจะเป็น Cloud Virtual Private Server Service ที่เราเรียกว่า เซิร์ฟเวอร์เสมือน จะเริ่มผุดขึ้นมาบ้างแล้วในธุรกิจ Hosting ในบ้านเราหลายเจ้า แต่ปัญหาของ Private Cloud, Public Cloud หรือ Hybrid Cloud (ลูกผสม) ก็ยังมีอยู่ สำหรับผู้ใช้บริการ Private Cloud หรือ Cloud Service ใดๆ หากได้ใช้บริการ Private Cloud ของผู้ให้บริการใดไปแล้วจะเกิดการบังคับผูกขาดกับผู้ให้บริการ และส่วนของผู้ให้บริการเองปัญหาที่ยังมีอยู่ ที่ผู้ใช้ปรับแต่งระบบอาจจะเกิดปัญหาในการเรียกใช้ ทรัพยากร และยังต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริการของตัวผู้ให้บริการเอง ซึ่งต้องใช้เวลานานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้ใช้อย่างเรา และผู้ให้โอกาสอย่างภาครัฐและเอกชน

ประโยชน์ของระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ


ภาพจาก infeemation
Cloud computing - linear utility or complex ecosystem?

ทรัพยากรไอทีถูกใช้อย่างคุ้มค่า

เนื่องจากเป็นการแบ่งปัน (Share) ทรัพยากรทางด้านไอทีบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต  จึงเกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการปรับลด/ขยายขนาดของประสิทธิภาพของระบบประมวลผลได้ตามลักษณะการใช้งานจริง ผู้ใช้บริการจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนเพื่อติดตั้งระบบไอที แต่สามารถเรียกใช้ความสามารถจากผู้ให้บริการ  ซึ่งก็จะเกิดการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการด้วยกันเองถึงประสิทธิภาพและสมรรถนะของแต่ละผู้ให้บริการ โดยจะมีการแบ่งปันความสามารถดังกล่าวให้แก่ลูกค้าหลายรายจึงเกิดการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม

ผู้ใช้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น

โดยอัตราค่าบริการด้านไอทีผ่านสภาพแวดล้อมกลุ่มเมฆจะต่ำกว่าการลงทุนติดตั้งระบบไอทีเองทั้งหมด ดังนั้น ผู้ใช้จึงมีโอกาสที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีที่หลากหลาย ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้มากกว่าในสภาพแวดล้อมแบบเดิม  ทั้งนี้ในกรณีที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ผู้ให้บริการมีความยืดหยุ่นที่จะนำเทคโนโลยีใหม่มาให้บริการบนสถาปัตยกรรม SOA (Service-oriented architecture)

ผู้พัฒนาเทคโนโลยีไอทีมีโอกาสให้นำผลงานออกสู่ตลาดได้มากขึ้น

บนสถาปัตยกรรมที่แยกเซิร์ฟเวอร์ในส่วนของแอพพลิเคชั่น ทำให้แอพพลิเคชั่นบนเครือข่ายมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนบนเครือข่าย ผู้ให้บริการจะกำหนดแพลทฟอร์มของแอพพลิเคชั่นบนกลุ่มเมฆของตน

ผู้ให้บริการสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

บริการถูกนำเสนอบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ดังนั้น ผู้ให้บริการสามารถติดตั้งอุปกรณ์ในทำเลที่ตั้งที่ห่างไกลซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าการตั้งกิจการในย่านธุรกิจ แต่สามารถนำเสนอบริการให้แก่ลูกค้าได้ทั่วโลก อีกทั้งหน่วยจัดเก็บข้อมูล ส่วนประมวลผล และแอพพลิเคชั่น ถูกแยกออกจากส่วนผู้ใช้ ดังนั้นผู้ให้บริการจึงสามารถดูแลรักษาระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อจำกัดของระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ

แม้ว่าหลักการของระบบประมวลผลกลุ่มเมฆจะมีประโยชน์ต่อภาพรวมทั้งส่วนของผู้ใช้ ผู้พัฒนา และผู้ให้บริการ แต่ยังคงมีข้อจำกัดบางประการที่มีผลต่อการให้บริการบนสภาพแวดล้อมกลุ่มเมฆ

ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

เมื่อข้อมูลและแอพพลิเคชั่นถูกส่งไปยังกลุ่มเมฆผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต อีกทั้งสภาพแวดล้อมที่กระบวนการทำงานต้องอาศัยความสามารถของกลุ่มเมฆเซิร์ฟเวอร์หลายกลุ่มบนเครือข่าย องค์กรธุรกิจและผู้ใช้ระดับบุคคลอาจไม่มั่นใจและมีความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 

ไม่มีมาตรฐานของแพลทฟอร์ม 

ผู้ให้บริการกลุ่มเมฆมีมาตรฐานแพลทฟอร์มที่แตกต่างกัน โดยอะเมซอน เว็บ เซอร์วิส เป็นแบบซอฟต์แวร์ฟรีโปรแกรม (Linux, Apache, MySQL, Perl/PHP : LAMP) ขณะที่  Google App Engine เป็นแบบมาตรฐานเฉพาะผลิตภัณฑ์ (Proprietary Formats) และผู้ใช้วินโดว์มักจะใช้บริการจาก GoGrid ดังนั้นสำหรับผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น หากต้องการให้ผลงานครอบคลุมตลาดผู้ใช้หลาย ๆ กลุ่ม ก็ต้องพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนหลายแพลทฟอร์มซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก

ความเชื่อถือได้ (Reliability)

โอกาสที่บริการกลุ่มเมฆจะล่มหรือไม่สามารถให้บริการได้ในบางขณะจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ใช้ในระบบ 

คุณสมบัติด้านการเคลื่อนย้ายข้อมูล (Portability)


ตามหลักการทำงานแบบแบ่งปันประสิทธิภาพของระบบไอทีบนกลุ่มเมฆหลาย ๆ กลุ่ม หมายถึงกระบวนการประมวลผลแต่ละชิ้นงานอาจเริ่มต้นและสิ้นสุดลงโดยผ่านการทำงานบนกลุ่มเมฆ (เซิร์ฟเวอร์) มากกว่า 1 กลุ่ม ในขั้นตอนการเคลื่อนย้ายข้อมูลจากกลุ่มเมฆหนึ่งไปยังอีกกลุ่มเมฆหนึ่ง แม้จะเกิดความคุ้มค่าของการใช้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่อาจสิ้นเปลืองทรัพยากรด้านการสื่อสาร (Bandwidth) บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในมูลค่าที่สูงกว่า

ภาพจาก zdnet "IBM takes the computing cloud corporate; What cloud will you trust?"

เซิร์ฟเวอร์ทางกายภาพ

ระบบประมวลกลุ่มเมฆให้บริการด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtualization) อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่เซิร์ฟเวอร์ทางกายภาพยังคงมีอยู่จริง ซึ่งมีโอกาสที่ติดตั้งกระจายอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก  ประเด็นที่ยังคงเป็นกังวลคือข้อมูลทางธุรกิจและข้อมูลที่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ อาจถูกจัดเก็บบนเซิร์ฟเวอร์ในประเทศอื่น และมีความเสี่ยงที่รัฐบาล หรือทางการ ตลอดจนภาคเอกชนของประเทศที่เป็นที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้